เช่าออฟฟิศแบบไหนดี – สำนักงานสำเร็จรูป (Service Office) VS สำนักงานแบบทั่วไป (Conventional Office) VS Co-Working Space
การเช่าสำนักงานในปัจจุบันมีตัวเลือกที่หลากหลายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเช่าออฟฟิศแบบปกติทั่วไปที่ต้องตกแต่งห้องเอง (Conventional Office) การเช่าออฟฟิศพร้อมเฟอร์นิเจอร์ (Service Office) หรือการเช่า Co-Working Space แล้วออฟฟิศแบบไหนเหมาะสำหรับเรา? ก่อนอื่นเราควรมาทำงานรู้จักสำนักงานแต่ละแบบว่ามีข้อดีและข้อด้อยอย่างไรบ้าง
สำนักงานสำเร็จรูป (Service Office)
สำนักงานสำเร็จรูปคือออฟฟิศให้เช่าพร้อมเฟอร์นิเจอร์ สามารถจดทะเบียนบริษัทได้ และเริ่มงานได้ทันที ค่อนข้างยืดหยุ่นมาก
1 / 3
Caption Text
2 / 3
Caption Two
3 / 3
Caption Three
❮
❯
จุดเด่นของสำนักงานสำเร็จรูป
-
เริ่มต้นทำงานได้ทันที ไม่ต้องวุ่นวายกับการตกแต่งออฟฟิศ
-
สัญญาเช่าออฟฟิศเป็นแบบระยะสั้น เริ่มต้นสัญญาเช่าที่ 1 เดือน – 1 ปี
-
เงินมัดจำน้อยแค่ 2 เดือน กว่าเช่าออฟฟิศแบบปกติ
-
ค่าเช่าออฟฟิศเป็นแบบต่อหัว คิดตามจำนวนพนักงาน ราคารวมค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าทำความสะอาด ทำให้ต้นทุนการเช่าสำนักงานเท่ากันทุกเดือน ง่ายต่อการควบคุมค่าใช้จ่าย
-
ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ จ่ายตามที่ใช้จริง เช่นค่าเช่าห้องประชุม ค่าบริการจากการให้พนักงานส่วนกลางทำงานให้เรา ค่าถ่ายเอกสาร หรือค่า Print เอกสาร เป็นต้น
-
มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นชา กาแฟ น้ำดื่ม เป็นต้น
-
การตกแต่งพื้นที่ของสำนักงานสำเร็จรูป (Service Office) ค่อนข้างหรูหรา ส่งเสริมต่อภาพลักษณ์ของบริษัท
-
มีพื้นที่ขนาดเล็กให้เช่า เหมาะสำหรับ SEM บริษัทขนาดเล็ก หรือบริษัทที่มีพนักงานไม่มาก
-
ไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าเช่าแพงเพื่อที่จะอยู่ในตึกสำนักงานเกรด A ใจกลางเมือง เพราะสามารถเช่าห้องเล็ก ๆ ซึ่งสามารถรับภาระค่าเช่าได้อย่างสบาย
ข้อด้อยของสำนักงานสำเร็จรูป
- พื้นที่สำนักงานค่อนข้างเล็ก การจัดโต๊ะนั่งเป็นการหันหน้าติดผนังหรือกระจก ซึ่งทางเดินในห้องเล็กและแคบ อาจจะรู้สึกอึดอัด
- การตกแต่งสำนักงานของทุก ๆ ห้องในนั้นจะคล้าย ๆ กัน ทำให้ไม่สามารถโชว์โลโก้ หรือแสดงภาพลักษณ์ของบริษัทได้อย่างที่เต็มที่
- มีคนเข้าออกจำนวนมาก ทำให้ขาดความเป็นส่วนตัว
- พื้นที่ออฟฟิศค่อนข้างเล็ก เมื่อเทียบค่าเช่าเป็นราคาต่อตารางเมตรจะค่อนข้างแพง
- พื้นที่สำนักงานค่อนข้างเล็ก การจัดโต๊ะนั่งเป็นการหันหน้าติดผนังหรือกระจก ซึ่งทางเดินในห้องเล็กและแคบ อาจจะรู้สึกอึดอัด
Co-Working Space
Co-Working Space จะเป็นพื้นที่ทำงานร่วมกัน ไม่มีห้องทำงานส่วนตัว โดย Co-Working Space มี 2 แบบ คือแบบมีที่นั่งประจำ กับแบบไม่มีที่นั่งประจำ
จุดเด่นของ Co-Working Space
- ค่าเช่าออฟฟิศประเภทนี้ค่อนข้างถูก ถ้าเป็นแบบไม่มีที่นั่งประจำ ราคาอยู่ประมาณ 3,500 - 4,000 บาท/คน/เดือน ถ้ามีที่นั่งประจำราคาอยู่ประมาณ 6,500 – 7,000 บาท/คน/เดือน
- ค่อนข้างยืดหยุ่นมาก เมื่อมีคนเพิ่มขึ้น สามารถเพิ่มที่ทำงานได้ทันที หรือหากต้องการหาที่ทำงานใหม่ ก็สามารถทำได้ทันทีเช่นเดียวกัน
- ถ้าแบบมีที่นั่งประจำจะสามารถจดทะเบียนบริษัทได้ และสามารถจด VAT ได้ด้วย ซึ่งจะดีกว่าการเช่า Virtual Office เพราะราคาค่าเช่าพอ ๆ กัน และยังสามารถเข้ามานั่งทำงานได้
- บรรยากาศการทำงานเป็นแบบสบาย ๆ ไม่ต้องนั่งอุดอู้อยู่ในห้องสี่เหลี่ยมแคบ ๆ
- สามารถใช้บริการสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ได้ เช่น ห้องประชุม ถ่ายเอกสาร หรือ Print เอกสาร แต่จะมีค่าใช้จ่ายตามการใช้จริง
- ในบางแห่งที่มีหลายสาขา เราสามารถไปใช้ Co-Working Space สาขาอื่น ๆ ในเครือได้ ทำให้สะดวกหากต้องไปติดต่อลูกค้าในบริเวณนั้น
- สัญญาระยะสั้น 1 เดือน – 1 ปี
- ได้เจอผู้ประกอบการใหม่ ๆ ทำให้เกิดโอกาสทางธุรกิจอื่น ๆ สูง
- ไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าเช่าแพงเพื่อที่จะอยู่ในตึกสำนักงานเกรด A ใจกลางเมือง
ข้อด้อยของ Co-Working Space
- ไม่มีความเป็นส่วนตัว เนื่องจากต้องนั่งทำงานในพื้นที่รวมกับผู้อื่น
- ขาดความน่าเชื่อถือในการติดต่อธุรกิจ เนื่องจากลูกค้าอาจมองว่าเป็นแบบชั่วคราว จะย้ายออกเมื่อไรก็ได้
- ในที่ ๆ มีคนเยอะ หากเราเลือกใช้บริการแบบไม่มีที่นั่งประจำ ในบางครั้งเมื่อไปถึงอาจจะไม่สามารถหาที่นั่งทำงานได้
- พื้นที่ทำงานน้อย เนื่องจากมีแค่โต๊ะกับเก้าอี้ 1 ตัว ที่เรานั่งทำงานเท่านั้น
พื้นที่สำนักงานให้เช่าแบบทั่วไป (Conventional Office)
พื้นที่สำนักงานให้เช่าแบบทั่วไป คือการเช่าพื้นที่สำนักงานแบบเป็นห้อง ๆ และคิดราคาต่อตารางเมตร
จุดเด่นของพื้นที่สำนักงานให้เช่าแบบทั่วไป
- ราคาค่าเช่าถูก เนื่องจากคิดราคาเป็นแบบต่อตารางเมตร และสามารถได้ห้องขนาดใหญ่ตามที่ต้องการ
- สามารถตกแต่งออฟฟิศเองได้ สามารถแสดงโลโก้และอัตลักษณ์ของบริษัทได้อย่างเต็มที่
- มีความเป็นส่วนตัว เนื่องจากเป็นพื้นที่เช่าออฟฟิศของเราเอง คนอื่นไม่สามารถเข้ามาได้
- มีตึกสำนักงานหลายเกรด หลายทำเล มีตัวเลือกมาก
- พื้นที่เช่าสำนักงานบางห้องมีการกั้นห้องและตกแต่งจากผู้เช่าเดิม ทำให้ประหยัดต้นทุนในการตกแต่ง
ข้อด้อยของพื้นที่สำนักงานให้เช่าแบบทั่วไป
- ค่าใช้จ่ายในการเริ่มต้นเช่าออฟฟิศสูง เพราะต้องวางเงินมัดจำ 3 เดือน + ค่าเช่าล่วงหน้า 1 เดือน รวมเป็น 4 เดือน อีกทั้งต้องเตรียมเงินสำหรับการตกแต่งสำนักงานอีกก้อนหนึ่งด้วย
- ต้องมีการเตรียมตัวในการย้ายสำนักงานนาน อย่างน้อย 1 – 2 เดือน ล่วงหน้า ไม่สามารถทำได้ทันที
- อาจมีความวุ่นวายในการออกแบบออฟฟิศ และมีปัญหาต่าง ๆ ตามมากับการดีลกับผู้รับเหมาก่อสร้าง
- สัญญา 3 ปี ค่อนข้างยาวสำหรับธุรกิจที่มีการเติบโตสูง เพราะถ้าออกก่อนกำหนดก็จะถูกยึดเงินมัดจำ 3 เดือน และในบางแห่งสัญญาระบุว่าต้องจ่ายค่าเช่าจนครบ 3 ปี เท่านั้น ไม่สามารถย้ายออกก่อนได้
หลังจากที่เรารู้ถึงข้อดีและข้อด้อยของการเช่าสำนักงานในแต่ละแบบแล้ว คำถามต่อมาก็คือ เราควรจะเช่าออฟฟิศแบบไหนดี? ในการตัดสินใจว่าจะเช่าพื้นที่สำนักงานแบบไหนนั้นถึงจะเหมาะกับเรา มีปัจจัยในการพิจารณาหลายปัจจัยซึ่งต้องนำมาพิจารณาร่วมกัน แต่ในที่นี้จะยกตัวอย่างปัจจัยที่สำคัญและทำการแยกหัวข้อแต่ละปัจจัยเพื่อให้เห็นภาพมากขึ้น
ปัจจัยในการพิจารณาว่าควรเลือกเช่าออฟฟิศแบบไหน
1. จำนวนพนักงาน
- หากเราเป็นบริษัทเปิดใหม่ เป็น SME มีพนักงานแค่ 1 – 2 คน ตัวเลือกที่น่าจะเป็นไปได้ก็คือ Co-Working Space หรือไม่ก็ Service Office เนื่องจากเสียค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด เพราะหากเช่าออฟฟิศแบบทั่ว ๆ ไป ส่วนใหญ่พื้นที่จะเริ่มต้นที่ 50 – 60 ตารางเมตร ดังนั้นค่าเช่าต่อเดือนจึงสูงกว่า Co-Working Space และ Service Office
- หากบริษัทเราเป็นบริษัทขนาดเล็กมีพนักงานต่ำกว่า 10 คน Service Office น่าจะเป็นตัวเลือกทีดี เนื่องจากจำนวนพนักงานระดับนี้ ค่าใช้จ่ายในการเช่า Service Office จะไม่แตกต่างกับการเช่าสำนักงานแบบปกติในตึกสำนักงานเกรด A แต่ข้อดีของ Service Office คือสะดวก เริ่มต้นงานได้ทันที มีเฟอร์นิเจอร์พร้อม และต้นทุนค่าเช่าคงที่ ในขณะที่การเช่าออฟฟิศแบบทั่วไปเราต้องจ่ายค่าน้ำและค่าไฟ ซึ่งในแต่ละเดือนจะไม่เท่ากัน และหากค่า FT ปรับขึ้น ค่าใช้จ่ายในด้านค่าไฟก็จะเพิ่มขึ้นด้วย
- หากบริษัทเรามีพนักงานมากกว่า 10 คน การเช่า Service Office อาจจะต้องคิดอีกที เนื่องจากค่าเช่าจะสูงกว่าการเช่าออฟฟิศแบบทั่วไป ในขณะที่พื้นที่ทำงานจะเล็กกว่ามาก การเช่าสำนักงานแบบปกติจะมีข้อดีเยอะกว่า
2. งบประมาณ
- หากเป็นบริษัทขาดใหญ่ การเช่าออฟฟิศแบบทั่วไปจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
- สำหรับ SME หรือบริษัทขนาดเล็ก งบประมาณจะเป็นสิ่งสำคัญในการตัดสินใจ เนื่องจาก Service Office จะคิดค่าใช้จ่ายต่อหัว ซึ่งจะแพงกว่าการไปเช่าห้องขนาดเล็กประมาณ 30 – 40 ตารางเมตร ในอาคารสำนักงานขนาดเล็ก ดังนั้นถ้างบน้อย การเช่าออฟฟิศห้องเล็ก ๆ หรือเช่า Co-Working Space จะดีกว่า
3. ทำเลที่ตั้ง
Service Office และ Co-Working Space ส่วนใหญ่อยู่ในทำเลใกล้รถไฟฟ้า ในขณะที่ออฟฟิศแบบทั่ว ๆ ไป มีทั้งตึกที่ใกล้และไม่ใกล้รถไฟฟ้า หากต้องการทำเลที่ดี Service Office และ Co-Working Space ก็เป็นทางเลือกที่น่าจะเหมาะสมที่สุด
4. ภาพลักษณ์บริษัท
Service Office และ Co-Working Space ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในอาคารสำนักงานเกรด A หรือตึกสำนักงานเกรด B ที่ดูดี ดังนั้นตัวเลือกการเช่าสำนักงานดังกล่าวจะช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์กับบริษัท ในขณะที่ตึกสำนักงานแบบทั่ว ๆ ไป หากเป็นตึกเกรด A จะไม่มีห้องขนาดต่ำกว่า 100 ตารางเมตร ดังนั้นหากเราเป็นบริษัทขนาดเล็กและต้องการภาพลักษณ์ที่ดี Service Office น่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุด
อย่างที่กล่าวข้างต้น การเลือกเช่าพื้นที่สำนักงานไม่สามารถนำปัจจัยใดปัจจัยหนึ่งมาพิจารณาได้ ต้องพิจารณาร่วมกัน เพราะนอกจากปัจจัยใหญ่ ๆ ดังกล่าวข้างต้นแล้ว ยังมีปัจจัยอื่น ๆ อีก ไม่ว่าจะเป็นทำเลที่ตั้งใกล้บ้านของพนักงานส่วนใหญ่หรือไม่ บริเวณโดยรอบมีสิ่งอำนวยความสะดวกและอาหารการกินหรือไม่ ซึ่งราคาอาหารก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะในอาคารสำนักงานเกรด A ราคาอาหารจะค่อนข้างแพง อาจจะกระทบต่อพนักงานระดับล่างได้
หากต้องการที่จะได้พื้นที่เช่าออฟฟิศที่ดีและเหมาะสมกับบริษัทเรามากที่สุด แนะนำให้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ ทางทีมงาน www.officebangkoko.com มีประสบการณ์ในตลาดการเช่าพื้นที่สำนักงานมากกว่า 10 ปี ซึ่งเราแตกต่างจากบริษัทใหญ่ ๆ อื่น ๆ คือ แม้ว่าบริษัทใหญ่ ๆ จะอยู่ในตลาดนี้มานาน แต่พนักงานก็มีการหมุนเวียนไปเรื่อย ๆ ยากที่จะหาพนักงานที่มีประสบการณ์สูงและยอมลงมาคลุกคลีกับลูกค้าในทุกระดับ
และเพื่อให้การหาสำนักงานได้ตรงกับที่ต้องการมากที่สุด ทางลูกค้าควรจะมีความต้องการในใจว่าต้องการพื้นที่สำนักงานแบบไหน โดยอาจจะจำแนกปัจจัยต่าง ๆ ได้ดังนี้
1. ทำเลที่ตั้ง
ถ้าสามารถระบุทำเลที่ตั้งแบบเจาะจงได้ ก็จะใช้ให้เราได้ออฟฟิศที่อยู่ในทำเลที่สะดวกกับทุกคน โดยหากต้องการใกล้รถไฟฟ้า การระบุสถานีว่าจากไหนถึงไหนจะช่วยให้ตัวเลือกแคบลงได้
2. งบประมาณ
การแจ้งงบประมาณที่จ่ายได้จริง ๆ จะช่วยให้เราบริหารค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3. ขนาดพื้นที่หรือจำนวนพนักงาน
ปกติพนักงาน 1 คน ใช้พื้นที่เฉลี่ยประมาณ 8 – 10 ตารางเมตร การแจ้งจำนวนพื้นที่ที่ต้องการหรือจำนวนพนักงาน จะช่วยให้เราสามารถหาพื้นที่ออฟฟิศที่ไม่เล็กหรือใหญ่จนเกินไป
4. ระยะเวลาการใช้พื้นที่
ปกติระยะเวลาที่เหมาะสมในการหาพื้นที่เช่าออฟฟิศคือ 3 เดือน โดยเดือนแรกเป็นการหาและตัดสินใจว่าจะเช่าที่ไหน เดือนที่ 2 เป็นการเซ็นต์สัญญาและออกแบบห้อง ส่วนเดือนที่ 3 เป็นการเข้าตกแต่งพื้นที่เช่า ซึ่งโดยทั่วไปทางอาคารสำนักงานจะให้ระยะเวลาตกแต่งฟรี 1 เดือน หากพื้นที่ขนาดใหญ่ ต้องใช้เวลาตกแต่งนานกว่า 1 เดือน ก็เพิ่มระยะเวลาการหาให้มากขึ้นตามเวลาการตกแต่งที่เพิ่มขึ้น
หากหาพื้นที่เช่าสำนักงานนานเกินไป ทางตึกก็จะไม่เก็บห้องให้เรา เมื่อถึงเวลาต้องใช้จริง ๆ ห้องที่เราสนใจก็อาจจะไม่อยู่แล้วก็ได้ และหากหาพื้นที่เช่าสำนักงานแบบเวลากระชั้นชิด ก็อาจจะเตรียมตัวไม่ทัน ดังนั้นเราควรเผื่อเวลาในการหาสำนักงานให้เหมาะสม
หากต้องการรายละเอียดหรือต้องการคำปรึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเช่าพื้นที่สำนักงาน ก็สามารถโทรมาพูดคุยกับเราได้ที่ 081-6824898 หรืออีเมลมาคุยเบื้องต้นก่อนได้ที่ jirayus.b@gmail.com
บทความนี้เขียนโดย
จิรายุส 081-6824898
Director
บริษัท เจบี ออฟฟิเชียนซี่ จำกัด
สนใจเช่าออฟฟิศ เช่าพื้นที่สำนักงาน (Office Space for Rent)
หากต้องการรายละเอียดการเช่าออฟฟิศ เช่าพื้นที่สำนักงานเพิ่มเติม ติดต่อ จิรายุส 081-6824898 อีเมล jirayus.b@gmail.com